ORIGIN BEANCOFFEE
เราเริ่มต้นจากการเป็นผู้ผลิตสารกาแฟดิบกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งในจังหวัดเชียงราย
ภายใต้ชื่อ “กาแฟบุญมีดอยหลวง” มีการปรับปรุงพัฒนาคุณภาพมาตรฐานในกระบวน
การผลิตให้ดีขึ้นเรื่อยๆตลอดจนถึงการศึกษาคนคว้าเกี่ยวกับกาแฟอย่างจริงจัง
เพื่ออยากจะส่งต่อเรื่องราวดีๆเหล่านี้ไปถึงทุกคนที่ต้องการให้กาแฟเป็นส่วนหนึ่งใน
ชีวิตประจำวัน
“จากต้นน้ำสู่ปลายน้ำ”
เนื่องจากเราเป็นผู้ผลิตเองตั้งแต่ เมล็ดสารกาแฟดิบไปจนถึงเมล็ดกาแฟคั่ว ทำให้เราสามารถควบคุมมาตรฐานการผลิตได้ในทุกขั้นตอน
เพื่อให้ได้เมล็ดกาแฟคั่วที่เต็มเปรี่ยมด้วยคุณภาพ เพราะเราเชื่อว่าหากสามารถควบคุมคุณภาพให้ดีตั้งแต่ต้นน้ำแล้ว ก็คงไม่ใช้เรื่องยากที่จะทำให้ปลายน้ำ
มีคุณภาพที่ดีได้ เรื่องราวของกาแฟนั้นหากเปรียบเป็นการเดินทาง ก็คงจะเป็นการเดินทางที่แสนยาวไกล เส้นทางกาแฟสายคุณภาพของเราเริ่มขึ้นตั้งแต่
ขั้นตอนการคัดสรรเมล็ดกาแฟเชอรี่ที่มีคุณภาพ
เรามีเครือข่ายสมาชิกกลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ ตามแหล่งปลูกกาแฟพื้นที่สูงใน
จังหวัดเชียงรายเชียงใหม่ ลำปางและน่าน ซึ่งสมาชิกทุกคนมีประสบการณ์และความชำนาญในการปลูก
การดูแลรักษาและการเก็บเกี่ยวผลผลิตกาแฟได้อย่างมีคุณภาพ ตลอดระยะเวลา 9 เดือนเต็มที่เกษตรกร
คอยดูแลรักษาต้นกาแฟและผลผลิตเป็นอย่างดี ในช่วงเดือน พฤศจิกายน – มกราคม ของทุกปีเป็นช่วง
เก็บเกี่ยวผลผลิตกาแฟ สมาชิกทุกคนจะเก็บเกี่ยวผลผลิตโดยเลือกเก็บที่ละเม็ดและเก็บเฉพาะเมล็ด
ที่สุกเต็มที่ ผลผลิตทั้งหมดจะถูกรวบรวมให้หัวหน้าสมาชิกนำมาส่งที่โรงงาน โดยใช้ระยะเวลาไม่เกิน
12-24 ชั่วโมง ผลผลิตทั้งหมดจะถูกตรวจสอบคุณภาพอีกครั้งแล้วนำเข้าสู่กระบวนการผลผลิตทันที
ขั้นตอนการผลผลิตเมล็ดกะลาคุณภาพ
ขั้นตอนการผลิตเริ่มจาก การนำเมล็ดกาแฟเชอรี่(เมล็ดกาแฟสุก)ลงแช่ในน้ำเพื่อทำความสะอาด หลังจากนั้นเมล็ดกาแฟจะถูกลำเลียงเข้าเครื่อง
แยกเมล็ดที่ลอยน้ำออก ซึ่งเป็นเมล็ดที่ไม่สมบูรณ์ ให้เหลือแต่เมล็ดที่จมคือเมล็ดที่สมบูรณ์ เข้าสู่เครื่องแยกเปลือกจะได้เป็นเมล็ดกะลาเปียกซึ่งจะถูกนำ
ไปหมักกับน้ำในบ่อซีเมนต์แล้วตักเมล็ดที่ลอยออกอีกรอบ จะใช้เวลาในการหมักประมาณ 24-48 ชั่วโมง โดยอาศัยการทำงานของจุลินทรีย์ในการหมัก
เพื่อให้เกิดปฏิกิริยาภายในเมล็ดและเพื่อให้สามารถล้างเมือกที่ติดอยู่กับเมล็ดออกได้ง่าย หลังจากผ่านการหมักแล้ว เมล็ดกะลาเปียกจะถูกนำเข้าสู่เครื่อง
สลัดเมือกเพื่อขัดเมือกที่ติดเมล็ดออกแล้วล้างด้วยน้ำสะอาดอีกทีจึงจะนำไปตาก
ขั้นตอนการตากเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนที่มีความสำคัญต่อกลิ่นและรสชาติของกาแฟ
ใช้พื้นที่ในการตากค่อนข้างมากเพราะต้องใช้ระยะเวลาตากนาน 7 ถึง 10 วัน โดยวันแรกของ
การตากเราจะตากให้บางที่สุด เพื่อให้น้ำที่ติดตรงเมล็ดกาแฟละเหยออกไปให้หมดเพราะถ้าหาก
มีน้ำติดค้างอยู่จะมีการหมักเกิดขึ้นอีกครั้งในตอนกลางคืน ทำให้กลิ่นรสของกาแฟเสียไป
ตลอดช่วงระยะเวลาที่ตากในตอนเย็นของทุกวันเราต้องเก็บเมล็ดกาแฟกองไว้เพื่อตรวจวัดความชื้น
แล้วคลุมด้วยผ้าพลาสติกเพื่อป้องกันความชื้นจากน้ำค้างเพราะเป็นช่วงฤดูหนาว และจะทำการตาก
เมล็ดกาแฟใหม่ในตอนเช้าเพื่อให้ได้เมล็ดกาแฟที่มีคุณภาพ เมื่อตากเมล็ดกาแฟกะลาจนได้ความชื้น
ที่ต้องการแล้ว เราจะทำการเก็บบรรจุกระสอบเพื่อเข้าสู่กระบวนการบ่มเมล็ดกาแฟต่อไป
ขั้นตอนการบ่มเมล็ดกาแฟเป็นอีกหนึ่งขั้นตอนสำคัญ ซึ่งกระบวนการนี้มีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้องและส่งผลต่อคุณภาพของเมล็ดกาแฟ เช่น
1. ความชื้นของเมล็ดกาแฟที่นำมาบ่ม
ความชื้นของเมล็ดกาแฟมีผลอย่างมากต่อการบ่ม เพราะถ้าหากเมล็ดกาแฟ
ที่นำมาบ่มมีความชื้นมากเกินไปนอกจากจะทำให้เมล็ดกาแฟเสียกลิ่นและ
รสชาติแล้วยังเป็นสาเหตุทำให้เกิดเชื้อราที่เป็นอันตรายได้ ดังนั้นก่อนที่เรา
จะทำการบ่มเมล็ดกาแฟ เราจะต้องทำการตรวจวัดปริมาณความชื้นให้แน่ใจเสียก่อน
โดยใช้เครื่องตรวจวัดความชื้นมาตรฐานกรมวิชาการเกษตร ซึ่งปริมาณความชื้น
ของเมล็ดกาแฟกะลาต้องไม่เกิน 5.5 % และเมื่อนำไปสีเป็นสารกาแฟดิบจะ
ได้ปริมาณความชื้นที่ไม่เกิน 12.5%
2. ภาชนะที่ใช้บรรจุเมล็ดกาแฟ
เมล็ดกาแฟก็เหมือนกับเมล็ดพืชทั่วไป ถึงแม้จะเก็บเกี่ยวออกจากต้นมาแล้วเมล็ดก็ยังคงมีชีวิตอยู่ช่วงหนึ่งแล้วค่อยๆลดระดับความมีชีวิตลงเรื่อยๆ
หมายถึงตลอดระยะเวลาที่ทำการบ่ม เมล็ดยังมีการหายใจโดยแลกเปลี่ยนออกมาในรูปแบบของก๊าซและพลังงาน ดังนั้นภาชนะที่ใช้ในการบรรจุเมล็ดกาแฟ
ต้องสามารถระบายอากาศได้ดี เราจึงเลือกใช้กระสอบป่านในการบรรจุซึ่งผ่านการไล่ความชื้นและกลิ่นออกหมดแล้วด้วยความร้อน
3. สถานที่และวิธีการจัดเก็บ
เมล็ดกาแฟของเรานั้นถูกจัดเก็บไว้ในโกดังมาตรฐาน ที่มีความแห้งสามารถระบายถ่ายเทอากาศได้ดี ป้องกันเมล็ดกาแฟจากแสงแดดและความชื้น
จัดวางไว้บนพาเลทสูง 20 เซนติเมตร จัดเรียงไว้ในแนวตั้งเป็นช่องตารางเพื่อให้อากาศไหลผ่านหมุนเวียนได้ทุกด้าน มีการกลับกองทุกๆ 3 เดือน
4. ประเภทของเมล็ดกาแฟที่บ่ม
เมล็ดกาแฟที่นำมาบ่มนั้นมีอยู่ด้วยกัน 2 รูปแบบ คือ รูปแบบที่ 1 เป็นการบ่มในรูปแบบของเมล็ด สารกาแฟดิบซึ่งเป็นรูปแบบที่โรงคั่วส่วนใหญ่ใช้
ส่วนรูปแบบที่ 2 เป็นการบ่มในรูปแบบของเมล็ดกะลาและเป็นวิธีที่เราเลือกใช้ โดยเราได้ทำการทดลองแล้วพบว่า เมล็ดกาแฟที่บ่มในรูปแบบของเมล็ดกะลา
ในระยะยาวจะช่วยรักษาความสดของเมล็ดสารกาแฟได้ดีกว่าและเมื่อนำไปคั่วจะให้คุณภาพที่ดีกว่าการบ่มในรูปแบบของเมล็ดสารกาแฟดิบ ดังนั้นสารกาแฟ
ดิบที่เราใช้ในการคั่วจะถูกสีไว้ไม่เกิน 1 เดือนและจะทำการสีกาแฟใหม่ทุกๆ 1 เดือนเพื่อรักษาคุณภาพของเมล็ดสารกาแฟเอาไว้
5. ระยะเวลาที่ใช้ในการบ่ม
ระยะเวลาในการบ่มเมล็ดกาแฟเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่มีผลต่อคุณภาพของเมล็ดกาแฟ ซึ่งเราได้นำเมล็ดกาแฟที่บ่มในช่วงระยะเวลาต่างๆ
มาทำการคั่วใน profile ต่างๆ แล้วทำการทดสอบคุณภาพด้วยการ cupping พบว่า เมล็ดกาแฟคั่วที่ให้คุณภาพดีที่สุดคือเมล็ดกาแฟที่ใช้เวลาในการบ่มนาน
7 เดือนขึ้นไป ดังนั้นเราจึ่งได้มีการเก็บสต๊อกเมล็ดกาแฟไว้ให้เพียงพอต่อความต้องการใช้จนกว่าผลผลิตในปีถัดไปจะมีอายุการบ่มครบ 7 เดือน
จึงจะนำมาใช้ในการคั่วได้
ขั้นตอนการผลิตเมล็ดสารกาแฟดิบคุณภาพ
การสีกาแฟถือเป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนที่จะนำเมล็ดสารกาแฟดิบไปคั่ว
เริ่มจากการนำเมล็ดกาแฟกะลาเข้าผ่านเครื่องสีมาตรฐานเพื่อให้ได้สารกาแฟที่สะอาดก่อนจะนำไป
ผ่านตะแกรงเครื่องล่อนเพื่อคัดแยกเอาเมล็ดที่แตกหักและไม่ได้ขนาดออก แล้วนำไปคัดคุณภาพอีกครั้ง
โดยใช้แรงงานคนในการคัดเมล็ดที่ไม่สมบูรณ์ออกที่ละเมล็ด เพื่อให้ได้เมล็ดสารกาแฟดิบที่มีคุณภาพ
ที่สุดก่อนนำเข้าสู่กระบวนการคั่ว
ขั้นตอนการคั่วเมล็ดกาแฟ
เมล็ดกาแฟคั่วที่มีคุณภาพ นอกจากจะต้องใช้เมล็ดสารกาแฟดิบที่ดีแล้วนั้น
กระบวนการและวิธีการคั่วเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่เราให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก
เพราะในขั้นตอนการคั่วเองก็มีปัจจัยเกี่ยวเนื่องอยู่มากมาย เช่น ช่วงเวลาและอุณหภูมิที่
ใช้ในการคั่วหรือแม้แต่อายุและลักษณะของสารกาแฟดิบ ดังนั้นเราจึงต้องมีการปรับเปลี่ยน
profile ในการคั่วไปด้วย เพื่อดึงเอาคุณภาพและบุคลิกที่ดีของกาแฟออกมาให้ได้มากที่สุด
ซึ่งต้องอาศัยทั้งประสบการณ์ ความชำนาญ ความละเอียดเคร่งครัดและความพิถีพิถันของ
คนคั่วเป็นอย่างมาก คนคั่วต้องมีระเบียบวินัยต้องรู้จักนิสัยของเมล็ดกาแฟและเครื่องคั่วเป็น
อย่างดี ที่สำคัญคือ ณ ช่วงเวลาที่นำกาแฟออกจากเตาคั่ว ต้องใช้ความแม่นยำและเที่ยงตรง
อย่างมากเพราะหากมีความคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อยก็จะส่งผลต่อรสชาติของกาแฟทันที
เราจึงให้ความสำคัญและใส่ใจในทุกขั้นตอน เพื่อให้กาแฟทุกคั่วเมล็ดกาแฟคั่วทุกเมล็ดต้อง
มีคุณภาพและมาตรฐานเดียวกัน
ในส่วนของเครื่องคั่วกาแฟเราเลือกใช้เครื่องคั่วกาแฟคุณภาพสูงสัญชาติไทย ซึ่งผลิตและออกแบบโดยทีมช่างและวิศวกรคนไทย ชิ้นส่วนทุกๆชิ้นส่วน กลไกลทุกๆกลไกล ผลิตอย่างละเอียดปราณีตจากวัสดุคุณภาพ ทั่งในส่วนของ drum,burnner ,clooling,airfrow,Shaft collector,controและ slefty ได้รับการออกแบบและทำการทดลองประสิทธิภาพมาอย่างดีเทียบเท่าคุณภาพมาตรฐานสากล เพราะเราเชื่อว่า “ฝีมือคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก”
จากความใส่ใจในทุกขั้นตอนทุกรายละเอียด นำมาซึ่งคุณภาพของเมล็ดกาแฟคั่วที่มีความสม่ำเสมอและมาตรฐาน จากการเดินทางอันแสนยาวไกล ผ่านเรื่องราวผ่านผู้คนมากมายนับร้อยนับพัน เราเป็นเพียงหนึ่งผู้นำพาเอาสิ่งดีๆเหล่านี้มาส่งถึงปลายทาง…ถึงคุณ…ขอให้ทุกท่านมีความกับสุขกับร้านกาแฟที่สร้างขึ้นมาจากความรักและความตั้งใจในทุกๆร้าน ขอให้ท่านมีความสุขกับการดื่มกาแฟที่ชงมาจากความรักและความตั้งใจในทุกๆแก้ว เราของเป็นส่วนหนึ่งในความรักความตั้งใจและความสุขของคุณทุกคน